วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

วิธีอยู่กับโรค โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)

เนื่องจากหมอบอกว่าภรรยาเป็นโรคนี้ เลยต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เก็บไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว


เคยได้ยินใครๆ บ่นเรื่องท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกสลับท้องเสีย แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะหมายถึงอาการของโรคๆ หนึ่ง ที่ชื่อว่า โรคไอบีเอส

โรคชื่อเหมือนองค์การลับอะไรซักอย่างนี้ ย่อมาจากคำเต็มๆ ว่า Irritable Bowel Syndrome ซึ่งคุณหมอบางคนก็เรียกว่า โรคลำไส้แปรปรวน ใครจะเป็นหรือไม่เป็นจะรู้แน่ได้ด้วยการไปพบแพทย์ ก่อนจะวิ่งไปต่อคิวหาหมอกันยกใหญ่เพราะคิดว่า ตัวเองเข้าข่าย ก็ชำเลืองมองข้อมูลข้างล่าง เพื่อบวกลบคูณหารอาการดูน่ะค่ะ

คนปกติทั่วๆ ไปเขาจะเข้าห้องน้ำถ่ายหนักกันไม่เกิน 3 ครั้งต่อวัน หรือไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ ก็ยังถือว่าเป็นปกติสุขอยู่ รูปพรรณสัณฐานก็ต้องเป็นก้อนแต่ไม่แข็งมากหรือเหลวมาก ไม่มีมูกหรือเลือดปน ไม่ปวดเกร็งท้องด้วย

ทีนี้เรามาดูอาการที่น่าจะเป็นดีกว่า อาการของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป แบ่งออกเป็น 3 อาการใหญ่ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ท้องผูก ท้องเสีย และท้องผูกสลับเสีย ส่วนใหญ่มักจะอึดอัดไม่สบายท้อง ท้องอืด มีมูกปน ถ่ายไม่สุด ปวดท้อง ปวดแถวอุ้งเชิงกรานหรือทวารหนัก ฯลฯ มักจะปวดท้องหลังทานอาหารเสร็จ เมื่อได้ถ่ายอุจจาระแล้วอาการจะดีขึ้น บางคนจะมีอาการจู่ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาต้องเข้าห้องน้ำทันทีทันใด อาการเหล่านี้จะเป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนั้น

เมื่อยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง ทราบเพียงว่าระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ ซึ่งเราดูเองก็คงไม่รู้ จึงควรไปให้คุณหมอเป็นผู้วินิจฉัยตรวจดูว่าไม่ใช่อาการของโรคอื่น แต่เป็นโรคนี้แน่ๆ เพราะความผิดปกติบางอย่างก็มีอาการคล้ายๆ กับไอบีเอสได้เหมือนกัน

ถึงจะไม่ทราบค้นเหตุหลักแต่พอจะรู้ว่ามีตัวกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ อยู่หลายตัว ทั้งความเครียด ฮอร์โมน ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด ยาระบาย ยาแก้ซึมเศร้า ฯลฯ อาหารบางอย่าง เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ นม ช็อกโกแลต ถั่ว ไขมัน อาหารที่มีแคลอรี่สูง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเซโรโทนิน เป็นตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร ทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็น

คนที่จะเริ่มเป็นโรคไอบีเอสมักจะเริ่มตอนอายุราวๆ 20-30 ปี ส่วนอายุที่เป็นกันมากก็ประมาณ 30-50 ปี แล้วที่น่าสนใจก็คือ ผู้หญิงเป็นโรคนี้กันมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงระหว่างมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้เกิดอาการกำเริบขึ้นมา

เมื่อเป็นแล้วก็จะเป็นๆ หายๆ แบบเรื้อรัง ไม่ยอมหายขาด สำหรับคนที่มีอาการน้อยอาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา หรือเป็นก็แค่พอรำคาญๆ แต่คนที่มีอาการมาก โรคนี้ก็จะเป็นปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่กล้าไปไหนไกล เพราะกลัวว่าเดี๋ยวเกิดปวดท้องขึ้นมากะทันหันต้องวุ่นวายหาห้องน้ำเข้า เผื่อไม่มีห้องน้ำให้เข้าจะเดือดร้อนกันไปใหญ่ บางคนก็มีอาการไม่สบายท้องคราวละนานๆ หรือปวดท้องมากจนทำงานการในวันนั้นไม่ได้ เป็นแล้วทำให้เครียดได้ พอเครียดก็จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้นอีก

ดูแลตัวเองเมื่อไอบีเอสมาเยือน

นอกจากหมอรักษาแล้ว คนที่เป็นโรคนี้ต้องพยายามปรับเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการควบคุมสติอารมณ์และอาหารการกินเพื่อให้สุขภาพร่างกายใจดีขึ้น

มีหลายวิธีในการดูแลสุขภาพของตัวเองเพื่อช่วยให้อาการต่างลดน้อยถอยลงไป

1. สำหรับคนดื่มน้ำน้อย ดื่มน้ำให้มากหน่อย ประมาณวันละ 8 แก้ว

2. ทานอาหารพออิ่ม มื้อไหนอร่อยก็อย่าให้อิ่มแปล้จนเกินไป ถ้าเป็นคนกินจุก็เปลี่ยนนิสัยการกินจากกินมื้อละหลายจาน ให้เป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อแทนจะดีกว่าทานน้อยๆ แต่ทานบ่อยขึ้น

3. เลือกทานผักผลไม้หรือธัญพืช เพราะมีเส้นใยอาหารมาก เส้นใยอาหารจะช่วยลดอาการท้องผูก ลดการบีบตัวของลำไส้และดูดซับน้ำ ทำให้อุจจาระไม่แข็ง ถ่ายสบายท้อง แต่อาหารอุดมด้วยเส้นใย ก็อาจไม่เหมาะกับคนบางคนที่เป็นโรคนี้ บางคนทานเข้าไปมากๆ ก็อาจปวดท้องแทนที่จะดี เพราะฉะนั้นควรสังเกตตัวเองแล้วทานให้พอเหมาะ

4. ปรับการขับถ่ายให้เป็นเวลาและไม่ต้องรีบร้อน ใช้เวลาตามสบาย

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาทิตย์ละประมาณ 3-5 ครั้ง และเลือกการออกกำลังที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

6. อาหารที่ควรจะหลีกเลี่ยงก็คือ พวกที่มีไขมันมากๆ ในครีม เนย หนังสัตว์ หรือในอาหารทอดๆ กรอบๆ มักจะมีน้ำมันมาก รวมทั้งพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ อาหารหมักดอง และน้ำอัดลม

7. อารมณ์มีความสัมพันธ์กับลำไส้ ลองสังเกตบางคนเวลาตื่นเต้นหรือกลัวจะมีอาการปวดท้อง ต้องเข้าห้องน้ำกะทันหัน ความเครียดก็มีผลต่อการทำงานของลำไส้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นควรหาเวลาพักผ่อนเพื่อคลายเครียดบ้าง รู้จักมองสิ่งสวยงามรอบตัว หรือหางานอดิเรกที่ชอบทำเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย

ใครไม่เป็นก็ดูแลป้องกันไว้ก่อนได้ ถ้าเป็นแล้วรักษาตัวเองดีแล้วอาการของไอบีเอสจะได้เบาบางลงไป

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

การบ้าน คดีของนายโรเบิร์ต ที มอริส

คดีของนายโรเบิร์ต ที มอริส

Morris Case เกิดในปี ค.. 1988 นายโรเบิร์ต ที มอริส นักศึกษาได้ริเริ่มเข้าศึกษาในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยคอร์แนล ซึ่งหลายๆ คนได้ลงความเห็นว่าเขาเป็นนักโปรแกรม เมอร์ที่ชาญฉลาดมากคนหนึ่ง นายมอริสได้เพาะไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในนาม "หนอนคอมพิวเตอร์" (Worm) หรือที่เรียกว่า "Internet Worm" ซึ่งเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ยากต่อการตรวจจับหรือฆ่าโดยโปรแกรมเมอร์คนอื่น

("Worm" ซึ่งว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง ที่ระบาดจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่ง สู่เครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งโดยไม่ติดเชื้อ หรือทำให้ระบบการ ดำเนินงาน wbr>wbr>wbrbr> ต่างจาก "Virus" ที่เป็นโปรแกรมที่ระบาดหรือติดเชื้อบนระบบการดำเนินงานของคอมพิวเตอร์ ที่เชื้อนี้เข้าไป และจะระบาดไปยังเครื่องอื่นๆ ที่ใช้ไฟล์ข้อมูลจากเครื่องที่ติดเชื้ออยู่แล้ว) มอริสต้องการให้เกิดความมั่นใจว่า Worm จะไม่ทำซ้ำตัวของมันเอง บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มันเข้าไป การทำซ้ำ Worm มากๆ จะทำให้มันง่ายต่อการตรวจจับและจะส่งผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ติดขัด หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้wbr ดังนั้น มอริส จึงได้ออกแบบ Worm ที่สามารถถามเครื่องคอมพิวเตอร์ว่ามีสำเนาของ Worm หรือไม่ หากตอบว่า "ไม่" มันก็จะทำสำเนาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หากตอบว่า "มี" มันก็จะจะไม่ทำสำเนา อย่างไรก็ดี มอริส ก็กลัวว่า Worm จะถูกฆ่าโดยโปรแกรมเมอร์อื่นๆได้ หากแกล้งให้เครื่องสั่งว่า "มี" มอริสจึงได้เขียนโปรแกรมให้ Worm สามารถทำซ้ำได้เพียง 7 ครั้ง หากได้รับคำตอบว่า "มี" แต่อย่างไรก็ดี มอริส ลืมคิดไปว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อาจถูกถามคำถามเดียวกันหลายๆครั้ง มอริสคิดว่า Worm จะถูกทำลายเมื่อ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคงไม่มีผลเสียหายมากนัก

- 2 -

นายมอริส ได้ใส่โปรแกรมไวรัสนี้เข้าไปในระบบปฏิบัติการ ยูนิกส์ (Unix) เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.. 1988 ที่ Massachusetts Institute of Technology เนื่องจากต้องการอำพรางเพราะ มอริส เองอยู่ที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล อย่างไรก็ดีเรื่องที่มอริสไม่คาดคิดไว้ก็เกิดขึ้น Worm แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วเกินคาดคิด และเมื่อมอริสพยายามจะร่วมมือกับเพื่อนของเขาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยส่งจดหมายไปบนเครือข่าย ถึงวิธีการกำจัดเจ้าwbr>wbr Worm แต่เนื่องจากเครือข่ายได้ล่มลงเพราะพิษของ Worm จดหมายข่าวดังกล่าวจึงไม่สามารถส่งไปได้ เหตุการณ์สายเกินเยียวยาเสียแล้ว เครือข่ายที่เชื่อมโยงสถาบันการศึกษา หน่วยทหาร หรือศูนย์วิจัยในสหรัฐ ล้วนเเต่ได้รับผลร้ายจากการระบาดของ Worm ทั้งสิ้น ในที่สุดมอริสถูกตัดสินจำคุก 3 ปี แต่ให้รอลงอาญา ให้ไปบริการสังคมเป็นเวลา 400 ชั่วโมง และปรับเป็นเงิน 10,050 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล. โครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ http://www.nitc.go.th/document/journal/comcrime4.html

การบ้าน Teleworking

Teleworking

1. ความหมายและลักษณะของ Teleworking

Teleworking คือลักษณะการทำงานจากระยะไกล ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ก็เป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงกันมากเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบของมัน ในภาษาอังกฤษยังมีคำอีกหลายคำที่ใช้เรียกเช่น Telecommuting, Networking, Remote Working, Homeworking, Work at Home (WAH) เป็นต้น ในการทำ Teleworking งานจะถูกกระทำ ณ Virtual Office ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากสำนักงานจริงโดยสถานที่ดังกล่าวอาจเป็นบ้าน สำนักงาน เคลื่อนที่ หรือศูนย์กลางการทำงานจากระยะไกล (Telecenter) ที่พร้อมเพรียงด้วยอุปกรณ์สำหรับการสื่อสารกับสำนักงานหลัก ซึ่งพนักงานสามารถเดินทางมาทำงานได้โดยสะดวก

ด้วยภาระต้นทุนค่าสถานที่ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่องค์กรที่ใช้สำนักงานจริงต้องแบกรับ ประกอบกับทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่สูญเสียไปกับการเดินทางไปกลับสำนักงาน และไปพบลูกค้าพื้นที่ในสำนักงานพนักงาน ฯลฯ ประกอบกับสภาพการแข่งขันทางธุรกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาจราจร และปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ทำให้หลายองค์กรพยายามหาวิธีที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย การใช้Teleworking เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรในปัจจุบันมีความคล่องตัวมากขึ้น และดำรงสภาพการแข่งขันที่เป็นต่อในตลาด โดยสามารถใช้ระบบทางด่วนข้อมูล (Information Superhighway) แทนการเดินทางได้

การทำงานแบบ Teleworking ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคสารสนเทศที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของงานทั้งหมดมีสารสนเทศเป็นพื้นฐาน Teleworking ไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น จากการสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของคนทำงานทั้งหมดในประเทศสหรัฐฯ หรือประมาณ 9.1 ล้านคน ทำงานแบบ Teleworking โดยในจำนวนนี้ 65 เปอร์เซ็นต์ทำงานกับบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 100 คน โดยงานที่มีการทำงานแบบ Teleworking มากกว่าธุรกิจอื่น ได้แก่ การดูแลสุขภาพ การศึกษา สถาปัตยกรรม บัญชี ผู้ช่วยผู้บริหารงานพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ งานทรัพยากรบุคคล การวาดภาพประกอบ ตัวแทนขายประกัน ผู้สื่อข่าย เลขานุการ และการเรียงพิมพ์ นอกจากนี้ ผลการสำรวจโดย Bell Atlantic ยังแสดงว่าในปัจจุบันมีจำนวนองค์กรธุรกิจของสหรัฐฯที่สนับสนุนการทำงานแบบ Teleworking ในระดับหนึ่งถึงประมาณ 2 ล้านองค์กร และกระทรวงคมนาคมของสหรัฐฯ ยังได้ประมาณการเอาไว้ว่า จำนวน Teleworking จะเพิ่มขึ้นเป็นถึง 15 ล้านคน ในปี พ.. 2545

- 2 -

2. ตัวอย่างธุรกิจที่สามารถทำงานแบบ Teleworking ได้

ธุรกิจพัฒนา Software เนื่องจาก

- การทำงานด้านพัฒนา Software ต้องอาศัยเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเป็นพื้นฐานซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานของระบบ Teleworking ด้วย

- พนักงานในธุรกิจเหล่านี้สามารถใช้เครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีและโทรคมนาคมได้คล่องแคล่ว

- ลักษณะงานต้องใช้เวลามากและต้องการสมาธิในการทำงาน ซึ่งพนักงานสามารถทำงานเวลาไหนก็ได้ที่มีสมาธิ

- สามารถประหยัดพื้นที่ของสำนักงาน โดยสามารถแบ่งพื้นที่ไปตั้งอุปกรณ์เพื่อสนับสนุน Teleworking เช่นระบบ Network เครื่อง Server

- ลูกค้าส่วนทั้งหมดจะอยู่นอกสำนักงานอยู่แล้ว พนักงานจึงไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงาน

3. บทสรุป

แม้ว่าเทคโนโลยีระดับสูงหลายอย่างโดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต จะช่วยสนับสนุนให้สามารถนำ Virtual Office และ Teleworking มาใช้งานได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Teleworking จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับงานทุกประเภทหรือพนักงานทุกคนในองค์กร หากแต่จะต้องมีการพิจารณาลักษณะของงาน และพนักงานเสียก่อน
Teleworking จำเป็นต้องอาศัยพนักงานที่มีคุณภาพ เนื่องจากผู้บริหารไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างใกล้ชิด และพนักงานมีความอิสระในการทำงาน จึงจำเป็นต้องอาศัยวินัยในตนเอง และความรู้พื้นฐานเพื่อที่จะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ งานที่สามารถทำแบบ Teleworking ได้มักจะเป็นงานที่มีการใช้ระบบสำนักงานอัตโนมัติเข้าช่วย มีขั้นตอนการทำงานที่เป็นรูปแบบมาตรฐาน และมีการพบปะกันต่อหน้ากับพนักงานผู้อื่นน้อย ส่วนผู้บริหารก็จำเป็นต้องบริหารโดยการประเมินจากผลงานมากกว่าการประเมินด้วยสายตา เห็นได้ว่า Teleworking ไม่เพียงเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนทำงานเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแนวคิดของการจัดโครงสร้างและการจัดการองค์กรอย่างสิ้นเชิง โจทย์ที่นักบริหารยุคใหม่จะต้องแก้ คือจะวางแผนการใช้ทรัพยากรบุคคลผ่านระบบเครือข่ายโทรคมนาคมอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร
องค์กรใดก็ตามที่ต้องการนำ Teleworking มาใช้ จะต้องตระหนักในความจริงดังกล่าวข้างต้นให้ดี และจะต้องมีการเตรียมบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยความพยายามและต้นทุนมากขึ้นในระยะแรก ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การนำ Teleworking มาใช้ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

- 3 -

ทั้งนี้เป็นเพราะเทคโนโลยี ที่ถูกนำมาใช้กับ Teleworking ได้ถูกพัฒนาขึ้นจากภายนอกองค์กร โดยไม่ได้ถูกออกแบบเอาไว้ให้สามารถรองรับพนักงานที่ไม่มีคุณภาพได้ แต่ในระยะยาว Teleworking มักจะใช้ต้นทุนต่ำกว่า
อย่างไรก็ดี Virtual Office และ Teleworking จะถูกใช้เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของบริการให้เข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น และด้วยสภาพการแข่งขันที่สูงขึ้นในทุกธุรกิจ การจราจรที่ติดขัดในเมืองหลวง และสภาพสิ่งแวดล้อมเป็นพิษที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน จะทำให้มีผู้นำ Virtual Office และ Teleworking มาใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต เพื่อช่วยให้บุคคลสามารถปฏิบัติงานได้จากทุกหนแห่ง

แหล่งอ้างอิง

ประดิษฐ์ ภิญโญภาสกุล.(2541) Virtual Office และ Teleworking. สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2547,

จาก http://www.kunkroo.com/network/virtual_off.html.

Telework : A Management Priority A Guide for Managers, Supervisors, and Telework

Coordinators. (n.d.). Retrieved Nvember 3,2004, form http://www.telework.gov/

documents/tw_man03/ch1.asp#d

เศรษฐกิจใหม่ (New Economy) การบ้านวิชานัยทางสังคมของเทคโนโลยีสารสนเทศ

เศรษฐกิจใหม่ (New Economy)

1. บทนำ

ระบบเศรษฐกิจของโลกปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจใหม่หรือ New Economy เนื่องจากผลของการค้าเสรีและการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยี สารสนเทศและระบบอินเตอร์เนต ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง และสังคม ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันมากมาย เช่น New Economy Knowledge-based Economy Digital Economy และ Information Economy เป็นต้น ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่ง New Economy หมายถึง เศรษฐกิจที่พึ่งพิงหรือขึ้นอยู่กับความรู้และความคิด ซึ่งปัจจัยสำคัญในการสร้างงานและมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คือ ความคิดใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับสินค้าและบริการ หรืออาจหมายถึงเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของความเสี่ยง ความไม่ แน่นอน และความเปลี่ยนแปลง

2. ความแตกต่างของเศรษฐกิจเก่าและเศรษฐกิจใหม่

ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดที่กล่าวถึงข้างต้นอาจเรียกรวม ๆ กันได้ว่าเป็นเศรษฐกิจใหม่ หรือ New Economy ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากระบบเศรษฐกิจแบบเก่าอย่างมาก กล่าวคือ ในอดีตการที่ธุรกิจจะสามารถแข่งขันได้นั้น จำเป็นต้องมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานของตลาด และให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนในการผลิต โดยการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง อย่างไรก็ตาม ในเศรษฐกิจใหม่นี้ ความรู้ความสามารถของบุคคล และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะมีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ไร้พรมแดน โดย โรงงานที่เคยผลิตสินค้าได้ 300 ชิ้นใน 1 วัน อาจจะสามารถผลิตได้ถึง 600 ชิ้นใน 1 วัน การเกษตรที่ไม่สามารถคาดการณ์ผลผลิตต่อพื้นที่ได้เนื่องจากตัวแปรทางด้านลมฟ้าอากาศ ก็จะสามารถกำหนดปริมาณผลผลิตต่อพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น สำหรับความแตกต่างระหว่างเศรษฐกิจเก่าและเศรษฐกิจใหม่นั้น สามารถแสดงได้ดังนี้

ประเด็น

เศรษฐกิจเก่า

เศรษฐกิจใหม่

1. ลักษณะของเศรษฐกิจ

- ตลาด

ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

- ขอบเขตการแข่งขัน

ระดับชาติ

ระดับโลก

- รูปแบบองค์กร

แบบแบ่งสายงาน

แบบเครือข่าย

- การกระจายตัว

ทางภูมิศาสตร์ของธุรกิจ

ต่ำ

สูง

- การแข่งขันระหว่างภูมิภาค

ต่ำ

สูง

2. ภาคอุตสาหกรรม

- กระบวนการผลิต

การผลิตจำนวนมาก

การผลิตแบบยืดหยุ่น

- ปัจจัยหลักในการผลิต

ทุน/แรงงาน

นวัตกรรม/ความรู้

- ปัจจัยหลักทางเทคโนโลยี

จักรกล

ดิจิตอล

- ปัจจัยความได้เปรียบ

ในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาด และต้นทุน

ต้นทุนต่ำลง จากการประหยัดจากขนาด

นวัตกรรม คุณภาพ ความเร็ว

- ความสำคัญของงาน

วิจัยและนวัตกรรม

ปานกลาง

สูง

- ความสัมพันธ์กับกิจการอื่น

ไม่มี

พันธมิตร และความร่วมมือ

ประเด็น

เศรษฐกิจเก่า

เศรษฐกิจใหม่

3. แรงงาน

- นโยบายหลัก

การจ้างงานเต็มที่

ค่าจ้างและรายได้สูงขึ้น

- ทักษะ

ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ความรู้และทักษะกว้าง

- พื้นฐานการศึกษา

มีทักษะ

เรียนรู้ตลอดชีวิต

- ความสัมพันธ์ระหว่าง

ฝ่ายแรงงานกับฝ่ายบริหาร

แบบฝ่ายตรงข้าม

แบบความร่วมมือ

- รูปแบบการจ้างงาน

มีเสถียรภาพ

มีทั้งความเสี่ยงและโอกาส

4.รัฐบาล

- ความสัมพันธ์ระหว่าง

รัฐบาลและเอกชน

และการสร้างนวัตกรรมใหม่

รัฐกำหนดความต้องการ

รัฐสนับสนุนการเจริญเติบโต

- กฎระเบียบ

รัฐบังคับและควบคุม

อาศัยกลไกตลาด มีความยืดหยุ่น

3. สรุปลักษณะสำคัญของเศรษฐกิจใหม่ (New Economy)

- ระบบเศรษฐกิจใหม่ จะเป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ อาศัยฐานความรู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

- ระบบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสลับซับซ้อนและเชื่อมโยงกันมากขึ้น อันเนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย

- จะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุน และการลงทุนในต่างประเทศอย่างเสรี

- มีการขยายตัวของระบบการค้า ผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าถึงกันได้รวดเร็ว รูปแบบการขายตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยไม่ผ่านคนกลางจะมีมากขึ้น

- เกิดเครือข่ายทางธุรกิจ เชื่อมโยงทั่วโลก

- การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ระดับภูมิภาค โดยมุ่งหวังการประสานประโยชน์ เพื่อนำไปสู่การมีศักยภาพในการแข่งขัน ในระดับประเทศ และสร้างพลังต่อรองในระดับภูมิภาคจะมีมากขึ้น

- การแข่งขันทางธุรกิจจะขยายระดับจากภายในประเทศ เป็นระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก

- ระบบเศรษฐกิจใหม่ จะเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้และนวัตกรรมใหม่ เป็นปัจจัยหลัก ในการก่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน

- เทคโนโลยีเปลี่ยนจากระบบเครื่องจักรกลเป็นระบบสมองกล

- เศรษฐกิจใหม่ จะมีความเป็นพลวัตสูง ด้านการตลาดจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อันเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น

- การแข่งขันจะขึ้นอยู่กับคุณภาพและความแปลกใหม่ รวมทั้งการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าและความรวดเร็ว

- รูปแบบการบริหารงานองค์การจะเป็นลักษณะเครือข่าย

- การผลิตสินค้าจะเน้นผลิตสินค้า ที่มุ่งเจาะกลุ่มตลาดเป้าหมาย

- เป็นระบบที่ต้องการแรงงานที่มีความรู้และทักษะกว้างขวาง รวมทั้งเป็นแรงงานที่มีการเรียนรู้ ตลอดชีวิต

การจ้างแรงงานจะเป็นการจ้างตามกลไกตลาดที่เน้นผลงาน/ชิ้นงานเป็นหลัก

ระบบ E-Learning ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (การบ้าน)

ระบบ E-Learning ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของไทย ปัจจุบันแบ่งสถานศึกษาเป็น 5 วิทยาเขตได้แก่ 1.วิทยาเขตหาดใหญ่ 2.วิทยาเขตปัตตานี 3.วิทยาเขตภูเก็ต

4.วิทยาเขตตรัง 5.วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี

ระบบ E-Learning ของ มอ.


ระบบ E-Learnig ของ มอ. คือระบบที่มีชื่อว่า PSU Virtual Classroom ซึ่งเป็น Web-base Application ปัจจุบันเป็น Version 1.0 ซึ่งพัฒนาโดยภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยมีหน้าตาของระบบดังรูป

Virtual Classroom เป็นการเรียนการสอนแบบ Asynchronous ตามรายวิชาที่นักศึกษาได้ลงทะเบียนเรียนไว้ตามนโยบายในการสนันสนุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากระบบนี้สามารถศึกษาการเรียน การสั่งงานและการบ้าน การฝากข้อความ การสอบถามและประกาศต่างๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมในรายวิชานั้นๆ

- 2 -

ในการใช้งานระบบ Virtual Classroom โดยแบ่งผู้ใช้ออกเป็น 3 ส่วนดังนี้

1. ผู้เรียน ( Student User)

เป็น User กลุ่มที่เป็นผู้เข้าใช้งาน Virtual Classroom โดยจะมีสิทธิในการเข้าใช้งาน Virtual Classroom ตามรายวิชาที่ตนเองได้ทำการลงทะเบียนไว้ (เชื่อมต่อฐานข้อมูลของทางทะเบียนกลาง) โดยที่มีรายละเอียดของการเข้าใช้งาน Virtual Classroom ของแต่ละวิชาที่ตนเองได้ทำการลงทะเบียนเรียนไว้โดยมีรายละเอียดของการทำงานทั้งหมดดังนี้

- นักศึกษาต้องทำการ Login เข้าสู่ระบบก่อนการใช้งานทุกครั้ง

- เมื่อทำการ Login เข้าระบบเรียบร้อยแล้ว ระบบจะแสดงรายการวิชาที่ผู้ใช้ได้ลงทะเบียนเอาไว้

- จากนั้นเมื่อเลือกรายการวิชา จะมีรายละเอียดของวิชาของรายวิชานั้นๆ โดยจะมีรายละเอียดของรหัสวิชา, ชื่อรายวิชา, คำอธิบายรายวิชา, ข่าวที่แจ้งเกี่ยวกับรายวิชานั้นๆ และปรากฏเมนูย่อยต่างๆที่ผู้ใช้ สามารถใช้งานได้อย่างเช่น

Ø รายชื่อนักศึกษาที่ได้ทำการลงทะเบียนรายวิชานั้น โดยจะ Link ไปที่ email ของนักศึกษา

Ø มีส่วนที่อนุญาตให้นักเรียน อาจารย์ และผู้ช่วยสอนสามารถแลกเปลี่ยนคำถาม ข้อคิดเห็นผ่านทาง Webboard และยังสามารถ Post รูปภาพพร้อมคำอธิบายได้

Ø มีหัวข้อแสดงรายการ Assignment ที่อาจารย์ได้ทำการสั่งงานเอาไว้

Ø มีส่วนที่ใช้สำหรับ Download เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายวิชา ซึ่งอาจารย์และผู้ช่วยสอนได้ Upload ไว้

Ø มีเมนูสำหรับให้นักศึกษาส่งงานที่อาจารย์สั่งไว้ได้ โดยไม่จำกัดรูปแบบไฟล์ที่ส่ง

2. ผู้สอน (Teacher User)

ผู้สอนมีหน้าที่ในการดำเนินการสอนในรายวิชานั้นๆ โดยใช้งาน Virtual Classroom เป็นสื่อกลาง

เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยมีการใช้งานดังนี้

- ต้องทำการ Login เข้าสู่ระบบก่อนการใช้งานทุกครั้ง โดยผู้สอนจำเป็นต้องทำการลงทะเบียนก่อนการใช้งานในครั้งแรก

- เมื่อทำการ Login แล้วระบบจะแสดงรายวิชาต่างๆ ที่ User เป็นผู้สอน

- เมื่อเลือกรายวิชาที่ต้องการแล้ว จะปรากฏรายละเอียดรายวิชาของรายวิชานั้นๆ โดยจะมีรหัสวิชา, ชื่อรายวิชา,คำอธิบายรายวิชา,ข่าวที่แจ้งเกี่ยวกับรายวิชานั้นๆ และสามารถทำการแก้ไข หรือเพิ่มเติมรายละเอียดดังกล่าวได้ โดยจะมีเมนูย่อยดังนี้

Ø มีรายชื่อของนักศึกษาที่ได้ทำการลงทะเบียนไว้กับรายวิชานี้ โดยสามารถ link ไปยัง email ของนักศึกษา

Ø มีส่วนที่อนุญาตให้นักเรียน อาจารย์ และผู้ช่วยสอนสามารถแลกเปลี่ยน คำถาม หรือข้อคิดเห็นต่างๆ ได้ผ่านทาง Webboard ได้

Ø มีส่วนสำหรับแสดงรายการ Assignment ที่ได้สั่งไว้ ผู้สอนสามารถเพิ่มเติม หรือแก้ไขได้

Ø มีส่วนสำหรับการ Upload เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายวิชา

Ø มีส่วนสำหรับการรับงานที่นักศึกษาส่งผ่านทาง Web มาเพื่อทำการตรวจสอบได้

สรุประบบ E-Learning ของ มอ.

- ระบบ E-Learning ของ มอ. Virtual Classroom เป็นระบบที่สามารถใช้งานเสริมกับการเรียนการสอนปกติโดยดำเนินการควบคู่กัน

- การจัดการเรียน E-Learning ของ มอ. จัดให้สำหรับนักศึกษาที่ลงทะเบียนในรายวิชานั้นๆเท่านั้นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

- นักศึกษาและอาจารย์สามารถเข้าใช้งานได้ตลอดเวลาผ่านทางระบบ Internet

- ระบบยังไม่จัดให้มีการสอบผ่านทาง Internet

- ระบบจัดให้มีการติดต่อกันระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาและนักศึกษาด้วยกันผ่านทางหัวข้อข่าวสารและ Webboard

- ระบบไม่สามารถจัดให้มีการติดต่อสื่อสารกันแบบ Real time Interactive

วิเคราะห์ระบบ E-Learning ของ มอ.

- เป็นระบบที่ช่วยเสริมการเรียนการสอนปกติได้ดีมาก แต่การเรียนการสอนแบบปกติก็ต้องมีอยู่เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาและนักศึกษาด้วยกัน

- สร้างความสะดวกในการเรียนการสอนโดยสามารถดำเนินการผ่านทางระบบ Internet จากที่ไหนก็ได้ ตลอดเวลา 24 ชม.

- เปิดโอกาสให้นักเรียนที่ไม่เข้าเรียน สามารถให้ติดตามเนื้อหา ได้ระดับหนึ่ง นอกจากนั้นทำให้นักศึกษาสามารถทบทวนได้ในภายหลัง

- ระบบจะช่วยให้อาจารย์เตรียมการสอน และเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ และเป็นแบบเชิงวิชาการ

- สามารถสร้างทักษะทางด้านเทคโนโลยีให้กับอาจารย์และนักศึกษาได้

การบ้านวิชา Social สมัยเรียน

1. ICT มีบทบาทอย่างไรต่อการพัฒนาคน ชุมชน และประเทศ : อธิบายภายใต้กรอบของ Millennium Development Goals พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้เห็นชัดเจน
คำตอบ

เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals:- MDGs) เป็นกรอบที่สมาชิกขององค์การสหประชาชาติกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระหว่างประเทศซึ่งประกอบด้วย 8 เป้าหมายหลักดังนี้

1 : ขจัดความยากจนและหิวโหย

ลดสัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวันลงครึ่งหนึ่ง ในช่วงปี 2533 - 2558

ตัวชี้วัดที่ 1: สัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐต่อวัน (ปรับตามอำนาจ

การซื้อ)

ตัวชี้วัดที่ 2: ช่องว่างความยากจน

ตัวชี้วัดที่ 3: ส่วนแบ่งรายได้ / รายจ่ายของประชากร 20 % ที่ยากจนที่สุด

ลดสัดส่วนประชากรที่หิวโหยลงครึ่งหนึ่งในช่วงปี 2533 - 2558

ตัวชี้วัดที่ 4: อัตราเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์

ตัวชี้วัดที่ 5: สัดส่วนประชากรที่ได้รับพลังงานอาหารต่ำกว่าเกณฑ์ความต้องการ

2 : ให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ให้เด็กทุกคนทั้งหญิงและชายสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาภายในปี 2558

ตัวชี้วัดที่ 6: อัตรานักเรียนต่อประชากรสุทธิในระดับประถมศึกษา

ตัวชี้วัดที่ 7: อัตราคงอยู่ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ 1 ถึงประถมศึกษาที่ 5

ตัวชี้วัดที่ 8: อัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรอายุ 15 - 24 ปี

3 : ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศและส่งเสริมบทบาทสตรี

ตัวชี้วัดที่ 9: สัดส่วนหญิงต่อชายในระดับประถมศึกษาภายในปี 2558

ตัวชี้วัดที่ 10: อัตราการอ่านออกเขียนได้หญิงต่อชายอายุ 15 - 24 ปี

ตัวชี้วัดที่ 11: สัดส่วนผู้หญิงที่ทำงานและได้รับค่าตอบแทนนอกภาคเกษตร

ตัวชี้วัดที่ 12: สัดส่วนผู้หญิงในรัฐสภา

4: ลดอัตราเด็กตาย ลดอัตราตายของเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีลดลงสองในสามในช่วงปี 2533 – 2558

ตัวชี้วัดที่ 13: อัตราเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีตาย

ตัวชี้วัดที่ 14: อัตราทารกตาย

ตัวชี้วัดที่ 15: สัดส่วนเด็กอายุหนึ่งปีที่ได้รับวัคซีนโรคหัด

5: พัฒนาสุขภาพของสตรีมี่ครรภ์ ลดอัตรามารดาตายลงสามในสี่ในช่วงปี 2533 – 2558

ตัวชี้วัดที่ 16: อัตรามารดาตาย

ตัวชี้วัดที่ 17: สัดส่วนการคลอดบุตรที่ได้รับการดูแลจากบุคลากรสาธารณสุข

6: ต่อสู้โรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคสำคัญอื่น ๆ

ชะลอและลดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ภายในปี 2558

ตัวชี้วัดที่ 18: อัตราการติดเชื้อ HIV ในสตรีมีครรภ์อายุ 15 –24 ปี

ตัวชี้วัดที่ 19: อัตราการใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด

ตัวชี้วัดที่ 20: จำนวนเด็กกำพร้าด้วยโรคเอดส์

ปัองกันและลดการเกิดโรคมาลาเรียและโรคสำคัญอื่น ๆ ภายในปี 2558

ตัวชี้วัดที่ 21: อัตราการเกิดโรคและอัตราตายด้วยโรคมาลาเรีย

ตัวชี้วัดที่ 22: สัดส่วนประชากรในพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดโรคมาลาเรียที่มีการป้องกัน

และรักษาที่ได้ผล

ตัวชี้วัดที่ 23: อัตราการแพร่ระบาดและอัตราตายด้วยวัณโรค

ตัวชี้วัดที่ 24: สัดส่วนผู้ป่วยวัณโรคที่ตรวจพบและรักษาหายด้วยวิธี DOTS

7: รักษาและจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน กำหนดนโยบายและแผนพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและลดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ตัวชี้วัดที่ 25: สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ต่อพื้นที่ประเทศ

ตัวชี้วัดที่ 26: สัดส่วนพื้นที่อนุรักษ์เพื่อพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพต่อพื้นที่

ประเทศ

ตัวชี้วัดที่ 27: อัตราการใช้พลังงาน(เทียบเท่ากิโลกรัมน้ำมันดิบ) ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม

ภายในประเทศหนึ่งเหรียญสหรัฐ (ปรับตามอำนาจการซื้อ)

ตัวชี้วัดที่ 28: อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อประชากรและอัตราการใช้สาร

ทำลายโอโซนประเภท CFCs ( ozone-depleting CFCs)

ตัวชี้วัดที่ 29: สัดส่วนประชากรที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทฟืน ถ่าน และมูลสัตว์ ลดสัดส่วน

ประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มสะอาด และส้วมถูกสุขลักษณะลงครึ่งหนึ่งภาย

ในปี 2558

ตัวชี้วัดที่ 30: สัดส่วนประชากรที่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มสะอาด (เขตเมืองและเขต

ชนบท)

ตัวชี้วัดที่ 31: สัดส่วนประชากรที่ใช้ส้วมถูกสุขลักษณะ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนใน

ชุมชนแออัด 100 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2563

ตัวชี้วัดที่ 32: สัดส่วนประชากรที่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย (เป็นเจ้าของหรือเช่า)

8: ส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในประชาคมโลก พัฒนาระบบการค้าและการเงินแบบเปิด ที่ทุกฝ่ายเคารพกฎและกติกาข้อตกลง มีความแน่นอนและไม่เลือกปฏิบัติ ให้ความสำคัญกับประเทศพัฒนาล้าหลัง ให้ความสำคัญกับประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดทะเลและประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก จัดการปัญหาหนี้ของประเทศกำลังพัฒนาด้วยมาตรการภายในและระหว่างประเทศเพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาในระยะยาว

ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ

ตัวชี้วัดที่ 33 : สัดส่วนเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (เงินกู้และเงินให้เปล่า

–ODA) รวมและสุทธิที่ประเทศ OECD/DAC ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาต่อรายได้ประชา

ชาติของประเทศ OECD/DAC

ตัวชี้วัดที่ 34 : สัดส่วน ODA เพื่อการพัฒนาบริการสังคมขั้นพื้นฐาน

ตัวชี้วัดที่ 35 : สัดส่วน ODA ที่ไม่มีเงื่อนไขผูกพัน

ตัวชี้วัดที่ 36 : สัดส่วน ODA ต่อรายได้ประชาชาติของประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดทะเล

ตัวชี้วัดที่ 37 : สัดส่วน ODA ต่อรายได้ประชาชาติของประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก

การเข้าถึงตลาดการค้า

ตัวชี้วัดที่ 38 : สัดส่วนสินค้านำเข้า (ไม่รวมอาวุธยุทธภัณฑ์ และคิดตามมูลค่าสินค้า)

จากประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาล้าหลังที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า

ตัวชี้วัดที่ 39 : อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ประเทศพัฒนาแล้วจัดเก็บจากสินค้าเกษตรและ

สิ่งทอจากประเทศกำลังพัฒนา

ตัวชี้วัดที่ 40 : การอุดหนุนสินค้าเกษตรคิดเป็นสัดส่วนของผลิตมวลรวมภายในประเทศ

ของประเทศ OECD

ตัวชี้วัดที่ 41: สัดส่วน ODA เพื่อส่งเสริมศักยภาพการค้า ความสามารถในการจัดการและ

รับภาระหนี้ในระยะยาว

ตัวชี้วัดที่ 42 : จำนวนประเทศที่บรรลุข้อตกลงลดหนี้ของประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(Heavily Indebted Poor Countries – HIPC) และจำนวนประเทศที่ได้ดำเนินการสำเร็จ

ลุล่วง

ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มีบทบาทสูงมากในการดำเนินการด้านต่างๆ ฉะนั้นเราสามารถนำเอา ICTมาเป็นเครื่องช่วยในการพัฒนาคน ชุมชน และประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย MDGs ที่ตั้งไว้ได้โดยมีรายละเอียดดังรายละเอียดดังนี้

1. การขจัดความยากจนและความหิวโหย (Eradicate extreme poverty and hunger)

1.1 จัดทำฐานข้อมูลคนจนทั้งประเทศ (Poor database) เชื่อมโยงเข้ากับฐานข้อมูลประชากรของประเทศและให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวในการช่วยเหลือคนจน พร้อมทั้ง Update ข้อมูลผลการช่วยเหลือ และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวโน้มของปัญหาและแนวทางในการป้องกันปัญหาความยากจน

1.2 ใช้ Internet เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการจำหน่ายสินค้าเกษตรหรือสินค้าท้องถิ่น โดยอาจจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรมี Website เพื่อให้คู่ค้าได้เห็นข้อมูลของสินค้าเช่นลักษณะ รูปร่าง หน้าตา หากมีคู่ค้าหลายรายก็สามารถทำการประมูลสินค้าได้ ซึ่งทำให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น

1.3 เผยแพร่ความรู้ทางด้านเกษตรกรรม ผ่านทางสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เข้าถึงเกษตรกรเช่น อินเตอร์เน็ตตำบล

1.4 เผยแพร่ความรู้ด้านโภชนาการให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น โดยผ่านทางสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เข้าถึงชนบทและท้องถิ่นเช่น อินเตอร์เน็ตตำบล

2. การพัฒนาการศึกษาขั้นประถม (Achieve universal primary education)

2.1 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานทำการเชื่อมโยงฐานข้อมูลเด็กจากระบบทะเบียนราษฎร์ ทำการสรุปข้อมูลเด็กที่ถึงเกณฑ์วัยเรียนแต่ยังไม่ได้เรียนส่งให้พื้นที่รับผิดชอบทำการติดตามตัวเพื่อหาสาเหตุ และทำการแก้ไขเพื่อให้ทุกคนได้เข้าเรียนหนังสือ

2.2 เพิ่มช่องทางการเรียนรู้ให้กับนักเรียนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงเช่นใช้ระบบการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (Teleeducation) การเรียนรู้ผ่านระบบ E-Learning

3. การส่งเสริมความเท่าเทียมกันของเพศหญิง / ชาย (Promote gender equality)

3.1 สำหรับการส่งความเท่าเทียมกันในด้านการศึกษานั้นสามารถดำเนินการตามหัวข้อที่ 2.1,2.2 ได้เลย เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวมีข้อมูลและวิธีการที่สนับสนุนอยู่แล้ว

3.2 ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายแห่งการเรียนรู้เพื่อผู้หญิงผ่านทางสื่อต่างๆ ทั้งทางด้านวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต

4. การลดอัตราการตายของเด็ก (Reduce child mortality)

4.1 ให้ความรู้ในการดูแลเด็ก โดยเริ่มตั้งแต่การเตรียมความพร้อมก่อนมีบุตร,การปฏิบัติตัว

ระหว่างตั้งครรภ์,การเลี้ยงดูทารก และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นการรับวัคซีน โดยผ่านทางสื่อ

ต่างๆ ทั้งทางด้านวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต

4.2 มีระบบ Telemedicine (โทรเวช) สำหรับบริเวณที่ห่างไกล ขาดแคลนแพทย์ผู้เชียวชาญ

ทำให้มารดาและเด็กสามารถเข้าถึงแพทย์ได้มากขึ้น

5. การพัฒนาสุขภาพของสตรีมีครรภ์ (Improve maternal health)

5.1 สามารถใช้วิธีการเช่นเดียวกับข้อ 4 (ทั้ง 4.1 และ 4.2) เนื่องจากเนื้อหาในการดำเนินการ

ต่อเนื่องการสามารถทำไปด้วยกันได้ ฉะนั้นในการพัฒนาระบบทั้งการผลิตสื่อ และระบบ

Tele Medicine ควรให้ครอบคลุมทั้งข้อ 4 และ 5 ในคราวเดียวกัน

6. การป้องกันโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ (Combat HIV/AIDS, Malaria and other diseases)

6.1 ให้ความรู้ในการป้องกันโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ ผ่านทางสื่อต่างๆ เช่นวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต

6.2 ใช้มีระบบ Tele medicine สำหรับบริเวณที่ห่างไกล ขาดแคลนแพทย์ผู้เชียวชาญ เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น

6.3 จัดให้มีศูนย์ข้อมูลฐานความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขและผู้เกี่ยวข้องได้ศึกษาและใช้งานร่วมกัน

7. การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (Ensure environmental sustainability)

7.1 นำเอาเทคโนโลยีภาพถ่ายทางดาวเทียมมาใช้ในการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่นการถ่ายภาพพื้นที่ป่าทั้งหมดของประเทศ ป่าอนุรักษ์ ถ่ายสภาพทางทะเล จากนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์แนวโน้มความเสื่อมโทรมเพื่อหาทางป้องกันปัญหา

7.2 นำเอาเทคโนโลยี GIS มากำหนดพื้นที่ป่าสงวน เขตอนุรักษ์สัตว์ป่า และเขตพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

7.3 จัดทำฐานข้อมูลองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านทางระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อร่วมกันใช้ข้อมูลอย่างแพร่หลาย

7.4 ทำการรณรงค์ประหยัดการใช้พลังงานผ่านทางสื่อต่างๆ เช่นวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต

8. การส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในโลก (Develop a Global Partnership for Development)

8.1 ให้เงินช่วยเหลือเพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างทางพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับประเทศที่ล้าหลัง เช่นโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งจะทำให้ประเทศที่ล้าหลังสามารถเข้าถึงตลาดมากยิ่งขึ้น

8.2 จัดทำฐานความรู้ในการพัฒนาด้านต่างๆ เชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในประเทศสมาชิก

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ICT มีบทบาทสำคัญมากในการ

พัฒนาคน ชุมชน และประเทศ ถ้าพิจาณาตามกรอบของ MDGs สามารถใช้ ICT ในการพัฒนาได้ทุกเป้าหมายและครอบคลุมเกือบทุกตัวชี้วัด โดยจะเป็นส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้รวดเร็วขึ้น สามารถเข้าถึงประชากรของประเทศได้ครอบคลุมมากขึ้น สามารถใช้เทคโนโลยีพัฒนาองค์ความรู้เก็บไว้เป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ร่วมกันได้ และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศสมาชิกเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันได้

2. ปัจจุบันกระทรวง ICT มีนโยบาย มาตราการ และแนวทางการดำเนินการหลายประการที่เสมือนเป็นการกำกับดูแล /ควบคุม (regulate) เนื้อหาของสื่อบนอินเทอร์เน็ต จงวิเคราะห์ว่าการกำกับดูแล /ควบคุมดังกล่าวจำเป็นหรือไม่ และวิธีการที่กระทรวง ICT ได้เลือกใช้นั้นเหมาะสมเพียงใด

คำตอบ

เนื่องจากข้อมูลในอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันมีจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อข้อมูลมีจำนวนมากก็อาจจะมีทั้งข้อมูลที่ดีและข้อมูลที่ไม่ดี สำหรับข้อมูลที่ดีนั้นก็คือข้อมูลที่เป็นสาระ ความรู้ ข่าวสาร ที่มีคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้รับข้อมูลเหล่านั้น แต่ข้อมูลที่ไม่ดีก็คือข้อมูลที่ไม่มีสาระ ขาดคุณธรรมจริยธรรม เช่นภาพอนาจาร ภาพความรุนแรง การพนัน ข้อมูลกระทบความมั่นคงของชาติ ข้อมูลหมิ่นเบื้องสูง หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ทำให้เสียเวลาที่จะทำประโยชน์อย่างอื่นเป็นต้น แต่ทั้งนี้ข้อมูลที่ไม่ดีสำหรับประเทศหนึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่ดีสำหรับอีกประเทศหนึ่งก็เป็นได้

นโยบายและมาตรการของกระทรวงไอซีทีด้านการกำกับดูแลควบคุมเนื้อหาบนสื่ออินเตอร์เน็ตมีดังนี้

2.1 Cyber Inspector มาตรการหลักของกระทรวงไอซีทีในการกํากับดูแลเนื้อหาที่ไมเหมาะสมในอินเทอรเน็ตโดยการแตงตั้งคณะกรรมการสืบสวน ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมคอมพิวเตอร (Cyber Inspector) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดําเนินการตรวจสอบ ติดตาม ป้องกัน และสกัดกั้นการเขาชมเว็บไซตที่ไมเหมาะสม เชน เว็บไซตที่เผยแพรภาพหรือขอความลามก อนาจาร เว็บไซตที่เผยแพรภาพหรือข้อความที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เว็บไซตที่เป็นภัยตอความมั่นคงของชาติ เว็บไซตที่ขายสินค้าผิดกฏหมาย เว็บไซตการพนัน ฯลฯ โดยมีอํานาจหนาที่ดังตอไปนี้

- ติดตามสืบสวน การรุกรานของอาชญากรรมทางระบบเครือขายสารสนเทศและการ

สื่อสารในรูปแบบตาง ๆ

- กําหนดมาตรการในการปองกัน ปราบปราม หรือระงับความพยายามในการกระทํา

อาชญากรรมทางระบบเครือขานสารสนเทศและการสื่อสาร

- หาแนวรวมและพัฒนาอาสาสมัครจากประชาชนเพื่อปองกันและแจงภัยที่เกิดขึ้น

- แตงตั้งคณะทํางานเพื่อดําเนินการอื่นใดเพื่อลดอาชญากรรมทางระบบเครือขายสาร

สนเทศและการสื่อสาร

- ดําเนินการในเรื่องอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

มอบหมาย

2.2 สายดวน กระทรวงไอซีทีเปิดให้มีสายด่วนสําหรับรับเรื่องรองเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาหรือพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายหรือเปนอันตรายบนอินเทอรเน็ต โดยประชาชนทั่วไปสามารถเขาถึงสายดวนดังกลาวไดทั้งทางโทรศัพท และทางเว็บไซต ปัจจุบันกระทรวงไอซีทีไดรวบรวมเว็บไซตที่มีเนื้อหาเป็นอันตราย อยูในบัญชีดํา เพื่อทำการปิดกั้น

2.3 คลีนเน็ต (Clean Net Package) กระทรวงไอซีทีได้ขอความร่วมมือ ISP ในการจำหน่ายเป็นแพ็คเกจที่จะปิดกั้นเว็บไซต์ระดับเอ็กซ์ (เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาและรูปภาพในเชิงลามก อนาจารก่อให้เกิดความ เสื่อมเสีย แก่ศีลธรรมอันดีงาม ตลอดจนเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็นภัยต่อสังคม เช่น เว็บซื้อขายอาวุธสงคราม หรือ ลัทธิประหลาด เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหมิ่น พระบรมเดชานุภาพด้วย) และระดับอาร์(หมายถึง เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ไม่ร้ายแรงเท่ากับระดับ เอ็กซ์) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ปกครอง ที่จะซื้อให้กับเด็ก และเยาวชนเพื่อเข้าอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยและเหมาะสม

2.4 Plawan Browser กระทรวงไอซีทีให้การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการเผยแพร่ปลาวาฬบราวเซอร์ เป็นบราวเซอร์ที่สามารถป้องกันเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งบราวเซอร์ที่แจกฟรีให้กับผู้สนใจ

ซึ่งจากการดำเนินการของกระทรวงไอซีทีที่ใช้วิธีการปิดกั้นนั้นควรจะดำเนินการโดยเร่งด่วนโดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ผิดกฏหมาย แต่ทั้งนี้หากพิจาณาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการก็น่าจะดีกว่าเพราะว่ามีทีมงานในการสืบสวนและสอบสวน แต่มาตรการกำกับดูแล/ควบคุมดังกล่าวก็ยังจำเป็นสำหรับประเทศไทยในขณะนี้เนื่องจากแยกแยะการรับสื่อของคนไทยโดยเฉพาะเยาวชนยังไม่ได้รับการพัฒนาถึงจุดที่เหมาะสม

ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ก็จะมีเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราที่สูงมากนอกจากนั้นเนื้อหาในแต่ละเว็บไซต์ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในการใช้มาตรการของกระทรวงไอซีทีตามวิธีการข้างต้น นั้นจะไม่เหมาะสมในอนาคตระยะยาว เนื่องจากมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการเพื่อ "แก้ปัญหา" ไม่ใช่มาตรการในการ "ควบคุม" หรือป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีกในอนาคต ฉะนั้นกระทรวงไอซีทีควรจะพิจารณาเพิ่มมาตรการที่เป็นลักษณะของการรณรงค์สร้างวัฒนธรรมของชุมชนอินเตอร์เน็ตในต่อต้านสื่อที่ไม่เหมาะสม หรือการให้ความรู้แก่เยาวชนในการคิดแยกแยะและเลือกบริโภคสื่อควบคู่ไปด้วย เป็นต้น

เอกสารอ้างอิง

ครรชิต มาลัยวงศ์ (2540). ทัศนะไอที. บริษัทซีเอ็ดยูเคชั่น กทม.

โครงการติดตามผลการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium

Development Goals: MDGs) ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ http://www.nesdb.go.th

พิรงรอง รามสูต รณะนันทน์ และนิธิมา คณานิธินันท์ (2547). การกำกับดูแลเนื้อหาอินเทอร์เน็ต ที่มา : http://www.info.tdri.or.th/reports/unpublished/media/number10.pdf

Plawan Browser ที่มา : http://www.plawan.com

.ไอซีทีจัดระเบียบร้านเน็ต และข้อมูลออนไลน์ ที่มา : http://www.thairath.co.th

  © Free Blogger Templates 'Greenery' by Ourblogtemplates.com 2008

Back to TOP