วิธีอยู่กับโรค โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
เนื่องจากหมอบอกว่าภรรยาเป็นโรคนี้ เลยต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เก็บไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว
เคยได้ยินใครๆ บ่นเรื่องท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกสลับท้องเสีย แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะหมายถึงอาการของโรคๆ หนึ่ง ที่ชื่อว่า โรคไอบีเอส
โรคชื่อเหมือนองค์การลับอะไรซักอย่างนี้ ย่อมาจากคำเต็มๆ ว่า Irritable Bowel Syndrome ซึ่งคุณหมอบางคนก็เรียกว่า โรคลำไส้แปรปรวน ใครจะเป็นหรือไม่เป็นจะรู้แน่ได้ด้วยการไปพบแพทย์ ก่อนจะวิ่งไปต่อคิวหาหมอกันยกใหญ่เพราะคิดว่า ตัวเองเข้าข่าย ก็ชำเลืองมองข้อมูลข้างล่าง เพื่อบวกลบคูณหารอาการดูน่ะค่ะ
คนปกติทั่วๆ ไปเขาจะเข้าห้องน้ำถ่ายหนักกันไม่เกิน 3 ครั้งต่อวัน หรือไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ ก็ยังถือว่าเป็นปกติสุขอยู่ รูปพรรณสัณฐานก็ต้องเป็นก้อนแต่ไม่แข็งมากหรือเหลวมาก ไม่มีมูกหรือเลือดปน ไม่ปวดเกร็งท้องด้วย
ทีนี้เรามาดูอาการที่น่าจะเป็นดีกว่า อาการของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป แบ่งออกเป็น 3 อาการใหญ่ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ท้องผูก ท้องเสีย และท้องผูกสลับเสีย ส่วนใหญ่มักจะอึดอัดไม่สบายท้อง ท้องอืด มีมูกปน ถ่ายไม่สุด ปวดท้อง ปวดแถวอุ้งเชิงกรานหรือทวารหนัก ฯลฯ มักจะปวดท้องหลังทานอาหารเสร็จ เมื่อได้ถ่ายอุจจาระแล้วอาการจะดีขึ้น บางคนจะมีอาการจู่ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาต้องเข้าห้องน้ำทันทีทันใด อาการเหล่านี้จะเป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนั้น
เมื่อยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง ทราบเพียงว่าระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ ซึ่งเราดูเองก็คงไม่รู้ จึงควรไปให้คุณหมอเป็นผู้วินิจฉัยตรวจดูว่าไม่ใช่อาการของโรคอื่น แต่เป็นโรคนี้แน่ๆ เพราะความผิดปกติบางอย่างก็มีอาการคล้ายๆ กับไอบีเอสได้เหมือนกัน
ถึงจะไม่ทราบค้นเหตุหลักแต่พอจะรู้ว่ามีตัวกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ อยู่หลายตัว ทั้งความเครียด ฮอร์โมน ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด ยาระบาย ยาแก้ซึมเศร้า ฯลฯ อาหารบางอย่าง เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ นม ช็อกโกแลต ถั่ว ไขมัน อาหารที่มีแคลอรี่สูง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเซโรโทนิน เป็นตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร ทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็น
คนที่จะเริ่มเป็นโรคไอบีเอสมักจะเริ่มตอนอายุราวๆ 20-30 ปี ส่วนอายุที่เป็นกันมากก็ประมาณ 30-50 ปี แล้วที่น่าสนใจก็คือ ผู้หญิงเป็นโรคนี้กันมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงระหว่างมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้เกิดอาการกำเริบขึ้นมา
เมื่อเป็นแล้วก็จะเป็นๆ หายๆ แบบเรื้อรัง ไม่ยอมหายขาด สำหรับคนที่มีอาการน้อยอาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา หรือเป็นก็แค่พอรำคาญๆ แต่คนที่มีอาการมาก โรคนี้ก็จะเป็นปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่กล้าไปไหนไกล เพราะกลัวว่าเดี๋ยวเกิดปวดท้องขึ้นมากะทันหันต้องวุ่นวายหาห้องน้ำเข้า เผื่อไม่มีห้องน้ำให้เข้าจะเดือดร้อนกันไปใหญ่ บางคนก็มีอาการไม่สบายท้องคราวละนานๆ หรือปวดท้องมากจนทำงานการในวันนั้นไม่ได้ เป็นแล้วทำให้เครียดได้ พอเครียดก็จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้นอีก
ดูแลตัวเองเมื่อไอบีเอสมาเยือน
นอกจากหมอรักษาแล้ว คนที่เป็นโรคนี้ต้องพยายามปรับเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการควบคุมสติอารมณ์และอาหารการกินเพื่อให้สุขภาพร่างกายใจดีขึ้น
มีหลายวิธีในการดูแลสุขภาพของตัวเองเพื่อช่วยให้อาการต่างลดน้อยถอยลงไป
1. สำหรับคนดื่มน้ำน้อย ดื่มน้ำให้มากหน่อย ประมาณวันละ 8 แก้ว
2. ทานอาหารพออิ่ม มื้อไหนอร่อยก็อย่าให้อิ่มแปล้จนเกินไป ถ้าเป็นคนกินจุก็เปลี่ยนนิสัยการกินจากกินมื้อละหลายจาน ให้เป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อแทนจะดีกว่าทานน้อยๆ แต่ทานบ่อยขึ้น
3. เลือกทานผักผลไม้หรือธัญพืช เพราะมีเส้นใยอาหารมาก เส้นใยอาหารจะช่วยลดอาการท้องผูก ลดการบีบตัวของลำไส้และดูดซับน้ำ ทำให้อุจจาระไม่แข็ง ถ่ายสบายท้อง แต่อาหารอุดมด้วยเส้นใย ก็อาจไม่เหมาะกับคนบางคนที่เป็นโรคนี้ บางคนทานเข้าไปมากๆ ก็อาจปวดท้องแทนที่จะดี เพราะฉะนั้นควรสังเกตตัวเองแล้วทานให้พอเหมาะ
4. ปรับการขับถ่ายให้เป็นเวลาและไม่ต้องรีบร้อน ใช้เวลาตามสบาย
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาทิตย์ละประมาณ 3-5 ครั้ง และเลือกการออกกำลังที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
6. อาหารที่ควรจะหลีกเลี่ยงก็คือ พวกที่มีไขมันมากๆ ในครีม เนย หนังสัตว์ หรือในอาหารทอดๆ กรอบๆ มักจะมีน้ำมันมาก รวมทั้งพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ อาหารหมักดอง และน้ำอัดลม
7. อารมณ์มีความสัมพันธ์กับลำไส้ ลองสังเกตบางคนเวลาตื่นเต้นหรือกลัวจะมีอาการปวดท้อง ต้องเข้าห้องน้ำกะทันหัน ความเครียดก็มีผลต่อการทำงานของลำไส้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นควรหาเวลาพักผ่อนเพื่อคลายเครียดบ้าง รู้จักมองสิ่งสวยงามรอบตัว หรือหางานอดิเรกที่ชอบทำเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย
ใครไม่เป็นก็ดูแลป้องกันไว้ก่อนได้ ถ้าเป็นแล้วรักษาตัวเองดีแล้วอาการของไอบีเอสจะได้เบาบางลงไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น